บทที่ 15 การสร้างแบบฟอร์มฐานข้อมูลและรายงาน


บทที่ 15
การสร้างแบบฟอร์มฐานข้อมูลและรายงาน
การออกแบบฟอร์มและรายงาน
ในระบบงานใด ๆ เมื่อมีการดําเนินงานจะมีข้อมูลที่เข้าสู่ระบบเพื่อประมวลผล และทําให้ได้ข้อมูล ออกจากระบบ โดยการทํางานภายในของระบบเองก็จะมีข้อมูลที่เข้าสู่ขั้นตอนการทํางานเพื่อประมวลผลให้ ได้เป็นข้อมูลและออกจากขั้นตอนการทํางานนั้นไปยังขั้นตอนการทํางานต่อไป ซึ่งจะอยู่ในรูปของแบบฟอร์ม และรายงานต่าง ๆ ดังนั้นนักวิเคราะห์และออกแบบระบบจะต้องออกแบบหรือสร้างตัวต้นแบบของ แบบฟอร์มและรายงานที่เกิดขึ้นในระบบที่กําลังพัฒนา เพื่อนําเสนอต่อผู้ใช้งานและผู้บริหารเพื่อเป็นการ ยืนยันความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการในระบบใหม่
การออกแบบแบบฟอร์มและรายงานสามารถตรวจสอบได้จากแผนภาพกระแสข้อมูล (DFD) ได้ว่าจะ มีแบบฟอร์มอะไรบ้างที่ไหลเข้าสู่ Process และมีข้อมูลใดบ้างที่ไหลออกจาก Process นั้นจะทําให้ทราบว่า มีรายงานอะไรบ้าง

1 การออกแบบฟอร์มและรายงาน
1. เก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานแบบฟอร์มและรายงาน สามารถทําพร้อมกับการรวบรวม ข้อมูลในขั้นตอนของการวิเคราะห์ระบบ จะช่วยให้การออกแบบระบบมีความรวดเร็วขึ้น
2. ร่างแบบฟอร์มและรายงาน เมื่อได้ข้อมูลการใช้งานแบบฟอร์มและรายงานแล้ว จะต้อง นํามาออกแบบแบบฟอร์มและรายงาน โดยการร่างแบบเพื่อสอบถามผู้ใช้งานระบบว่าถูกต้องหรือไม่ หรือ ต้องการแก้ไขส่วนใดเพิ่มเติมหรือไม่จนกว่าผู้ใช้ระบบจะพอใจ
3. การสร้างตัวต้นแบบ หลังจากร่างแบบฟอร์มและรายงานและนําเสนอต่อผู้ใช้ระบบจน เป็นที่ยอมรับแล้ว จะต้องใช้เครื่องมือสร้างตัวต้นแบบเพื่อสร้างต้นแบบระบบไปให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้งาน เครื่องมือการสร้างตัวต้นแบบ เช่น โปรแกรมภาษาที่ใช้สร้างจอภาพ Visual Basic เป็นต้น

2 การจัดรูปแบบฟอร์มและรายงาน
การออกแบบฟอร์มและรายงาน ควรคํานึงถึงการจัดรูปแบบในการแสดงผลข้อมูลและ สารสนเทศ เพื่อนําเข้าสู่ระบบได้สะดวกและผิดพลาดน้อยที่สุด ดังนี้
1. สื่อที่ใช้ในการแสดงผล การแสดงผลจะต้องมีสื่อที่ใช้ในการแสดงผล เช่น แสดงผลทาง กระดาษ แสดงผลทางจอภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบในการออกแบบว่าควรจะแสดงผลบนสื่อ ชนิดใดให้เหมาะกับการใช้งาน นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบจะต้องออกแบบเพิ่มเติมว่าจะต้องได้ข้อมูล นั้น ๆ มาจากการประมวลผลแบบใด เพื่อนําไปกําหนดว่าเป็นแบบฟอร์มและรายงานใด โดยจะต้อง แสดงผลต่อผู้ใช้ระบบทันที หรือต้องรอการเก็บรวบรวมแล้วจึงทําการประมวลผลจึงแสดงผลการประมวล ข้อมูลนั้นต่อผู้ใช้ระบบในภายหลัง เป็นต้น
(1) การประมวลผลแบบออนไลน์ (On-line Processing) เป็นการประมวลผลสารสนเทศ และแสดงผลต่อผู้ใช้ระบบทันที่ที่มีการทํารายการ ลักษณะการทํางานที่เหมาะกับการประมวลผลแบบนี้ ได้แก่
(ก) การเข้าถึงข้อมูลจะมีลักษณะแบบสุ่ม (Random Access)
(ข) ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการค้นหามีรูปแบบและชนิดไม่คงที่ เช่น การสืบค้นข้อมูลของ ผู้ใช้ระบบตามความต้องการงาน
(ค) ข้อมูลเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน มากที่สุดจึงเหมาะแก่การดึงข้อมูลมาใช้งานเพื่อการตัดสินใจ
(ง) ผู้ใช้สามารถใช้งานระบบเดียวกันได้จากสถานที่ต่างกัน
(2) การประมวลผลแบบแบตช์ (Batch Processing) เป็นการประมวลผลข้อมูลที่จะต้อง มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นไว้ช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อรอการประมวลผลพร้อมกันในครั้งเดียว ณ ช่วงเวลาที่ ได้มีการกําหนดไว้อย่างแน่นอน การเก็บรวบรวมเพื่อประมวลผลแบบกลุ่มนั้นเมื่อผ่านการประมวลผลแล้ว สามารถนําไปเป็นสารสนเทศเพื่อแสดงผลแบบออนไลน์หรือแสดงผลบนกระดาษได้ ลักษณะการทํางานที่ เหมาะกับการประมวลผลแบบกลุ่ม ได้แก่
(ก) ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการค้นหามีรูปแบบและชนิดที่คงที่แน่นอน
(ข) มีช่วงเวลาในการใช้ข้อมูลที่แน่นอน
2. หลักในการจัดรูปแบบการแสดงผลบนแบบฟอร์มและรายงาน ดังนี้
(1) ส่วนของหัวเรื่อง (Titles) แบบฟอร์มและรายงานควรมีลักษณะที่เข้าใจได้ง่าย และ สื่อความหมายถึงเนื้อหาที่อยู่ในแบบฟอร์มและรายงาน ต้องมีวันที่ที่จัดทํารายงานและเป็นวันที่ถูกต้อง เสมอ และจะต้องมีรหัสของแบบฟอร์ม
(2) มีข้อมูลที่จําเป็นต่อการใช้งาน ส่วนของสารสนเทศที่จะแสดงอยู่บนแหล่งเอกสาร แบบฟอร์มและรายงานจะต้องเป็นสารสนเทศหรือข้อมูลที่จําเป็น ต้องเป็นสารสนเทศที่เตรียมไว้เพื่อการใช้ งานที่ตรงกับงาน
(3) มีการจัดวางที่สมดุล การจัดวางสารสนเทศบนแบบฟอร์มและรายงาน รวมถึงหน้า จอแสดงผลจะต้องมีการจัดวางสารสนเทศบนกระดาษและหน้าจอแสดงผลควรมีความสมดุล ควรมีระยะ ห่างระหว่างข้อความและส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และมีช่องป้อนข้อความจะต้องมีหัวเรื่องระบุอย่างชัดเจน
(4) ใช้งานง่าย ส่วนแสดงแนวทางการใช้งานของผู้ใช้ระบบจะต้องมีสัญลักษณ์เพื่อเป็น แนวทางให้กับผู้ใช้งานระบบอย่างชัดเจน ชี้นําผู้ใช้ในการทํางานในส่วนต่อไปได้ รวมทั้งมีข้อความแสดง สถานการณ์ใช้งานของผู้ใช้ชัดเจน กรณีที่เอกสารมีหลายหน้าควรมีข้อความแสดงให้ผู้ใช้ทราบเมื่อถึงหน้า สุดท้าย
หากนักวิเคราะห์ระบบทําการออกแบบฟอร์มและรายงานอย่างไม่มีหลักเกณฑ์จะทําให้ แบบฟอร์มและรายงานที่ได้นั้นยากต่อการนําไปใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบส่งผลให้เกิดความผิดพลาดตามมา
3. รูปแบบการแสดงผลด้วยการเน้นข้อความ การเน้นข้อความที่เป็นข้อมูลบนแบบฟอร์ม และรายงาน จะทําให้ผู้ใช้ให้ความสนใจกับข้อมูลที่ได้รับป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยัง ช่วยให้แบบฟอร์มหรือรายงานนั้นดูง่ายขึ้น ซึ่งมีวิธีการดังนี้
(1) ใช้สีที่มีความแตกต่างจากข้อความอื่น
(2) ใช้ตัวอักษรกระพริบ
(3) ใช้ตัวอักษรที่มีรูปร่างหนากว่าข้อความอื่น
(4) ใช้ขนาดแตกต่างจากข้อความอื่น
(5) ใช้รูปแบบตัวอักษรแตกต่างจากข้อความอื่น
(6) แสดงข้อความให้อยู่ในรูปของคอลัมน์
(7) ขีดเส้นใต้ให้กับข้อความ
(8) ใช้อักษรเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด
(9) วางในตําแหน่งที่แตกต่างจากข้อความอื่น
ในแบบฟอร์มและรายงานสามารถออกแบบโดยเน้นข้อความได้หลายรูปแบบ โดยต้อง คํานึงถึงลําดับความสําคัญของข้อความที่ต้องการเน้น
4. รูปแบบการแสดงผลแบบมีสีและขาวดํา การแสดงผลแบบฟอร์มและรายงานแบบมีสี และขาวดําจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทํางานของผู้ใช้ระบบแตกต่างกัน เนื่องจากการแสดงผล แบบมีสีสามารถให้ความรู้สึกอ่อนโยนเวลามอง แสดงให้เห็นถึงการเน้นข้อความหรือการให้ความสําคัญแก่ ข้อความหรือสารสนเทศบนแหล่งเอกสารได้ ช่วยให้สามารถแบ่งแยกรายละเอียดที่มีความซับซ้อนให้ดูได้ ง่ายขึ้น และสามารถเน้นส่วนที่เป็นข้อความเตือนให้เด่นชัดขึ้นได้ แต่จะเป็นปัญหาต่อผู้ใช้งานที่มีอาการ ตาบอดสี และความละเอียดของสีอาจจะมีค่าเปลี่ยนแปลงเมื่อใช้กับอุปกรณ์ต่างชนิดกัน ทําให้ความ ถูกต้องของสีอาจคลาดเคลื่อนเมื่อมีการใช้กับอุปกรณ์ต่างชนิดกัน
5. รูปแบบการแสดงผลแบบข้อความ การแสดงผลแบบข้อความมีลักษณะเป็นการ อธิบายหรือการบรรยาย พบได้ในส่วนแสดงความช่วยเหลือจากโปรแกรมประยุกต์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ กระดานประชาสัมพันธ์ และเว็บเพจที่ให้บริการข้อมูลความรู้ต่าง ๆ การออกแบบส่วนแสดงผลแบบข้อความ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) การเขียนข้อความใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการเขียนทั่วไป คือ มีการใช้ตัวอักษรพิมพ์ ใหญ่เมื่อขึ้นต้นประโยคและตามด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก มีเครื่องหมายวรรคตอนตามปกติ
(2) ระยะห่างระหว่างบรรทัดภายในย่อหน้าเดียวกันให้เว้นระยะห่าง 1 ระยะบรรทัดปกติ ส่วนระยะห่างระหว่างย่อหน้าให้เว้นบรรทัดว่าง 1 บรรทัด
(3) ควรมีการจัดข้อความให้ชิดซ้ายและเว้นระยะขอบด้านขวาพอสวยงาม
(4) ไม่ควรใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) เพื่อแสดงการเชื่อมต่อคําระหว่างบรรทัด
(5) ใช้คําย่อเฉพาะข้อความที่เห็นว่ามีความยาวมากเกินไป
6. รูปแบบการแสดงผลแบบตารางและรายการ การออกแบบการแสดงผลแบบตารางและ รายการจะทําให้ผู้ใช้ระบบสามารถทําความเข้าใจสารสนเทศนั้นได้ง่ายกว่าการแสดงผลแบบข้อความและ การแสดงผลแบบอื่น ๆ การออกแบบตารางและรายการจึงมีความสําคัญต่อแหล่งเอกสารที่เป็นแบบฟอร์ม และรายงาน โดยมีหลักเกณฑ์การออกแบบดังนี้
(1) การสื่อความหมายในตาราง
- ควรใช้ชื่อตาราง คอลัมน์ และแถวที่สื่อความหมายของข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละ คอลัมน์และแถว ชื่อของตาราง คอลัมน์ และแถว ควรจะเน้นเพื่อให้ดูชัดเจนและแตกต่างจาก ข้อมูลธรรมดา
- กรณีที่ตารางข้อมูลหรือรายการข้อมูลนั้นมีมากกว่า 1 หน้า ควรมีการแสดงหัวตาราง ใหม่ทุกครั้งที่ขึ้นหน้าใหม่
(2) การจัดรูปแบบของคอลัมน์ แถว และข้อความ
- ควรมีการเรียงลําดับข้อมูลในตาราง เช่น เรียงจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อย เป็นต้น

- ทุกครั้งที่มีการแสดงขอมูลในตารางครบ 5 บรรทัด หรือ 5 Record ควรมีบรรทัด ว่าง 1 บรรทัด แล้วจึงแสดงข้อมูลในบรรทัดต่อไป
- ควรมีระยะห่างระหว่างคอลัมน์พอสมควร
- บนแหล่งเอกสารที่เป็นแบบฟอร์มหรือรายงาน ควรมีที่ว่างเพื่อให้สามารถบันทึก ข้อความสั้น ๆ ได้
- ควรใช้ตัวอักษรแบบธรรมดายกเว้นข้อความที่ต้องการเน้นควรใช้ตัวหนา
- ไม่ควรใช้รูปแบบตัวอักษรหลายรูปแบบบนเอกสารเดียวกัน เนื่องจากจะทําให้ไม่ น่าอ่าน
(3) การจัดรูปแบบให้กับข้อมูลที่เป็นตัวเลข ข้อความ และตัวอักษรปนตัวเลข
- ควรจัดข้อมูลที่เป็นตัวเลขให้ชิดขวาและจัดวางให้จุดทศนิยมตรงกันทุกบรรทัด
- สําหรับข้อมูลที่เป็นข้อความ ควรกําหนดจํานวนตัวอักษรที่แสดงต่อ 1 บรรทัด โดยทั่วไปจะกําหนดไว้ที่ประมาณ 30-40 ตัวอักษรต่อบรรทัด เนื่องจากจะทําให้ผู้ใช้สามารถอ่านได้อย่าง รวดเร็วและจับใจความได้ง่ายขึ้น
- สําหรับข้อมูลที่เป็นตัวอักษรปนตัวเลข ควรกําหนดจํานวนตัวอักษรต่อ 1 กลุ่มคํา ประมาณ 3-4 ตัวอักษร
7. รูปแบบการแสดงผลแบบตารางและกราฟ ใช้ในกรณีที่ข้อมูลเป็นตัวเลข ซึ่งจะช่วยให้ ผู้ใช้งานเข้าใจสารสนเทศนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถอ่านค่าของข้อมูลได้จากตัวเลขทันที และการแสดงผล ข้อมูลตัวเลขด้วยกราฟจะทําให้ทราบการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเป็นช่วงระยะเวลาได้ จึงเหมาะสําหรับ ลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น สรุปผลข้อมูล แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตัวเลขนั้น เปรียบเทียบข้อมูลตัวเลขที่มีค่าแตกต่างกัน และแสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพยากรณ์ค่าตัวเลข ในอนาคต

3 การออกแบบส่วนนําเข้าข้อมูล (Input Design)
คุณภาพของข้อมูลที่จะนําเข้าสู่ระบบจะมีผลต่อคุณภาพและความสมบูรณ์ของรายงาน ใน การออกแบบส่วนนําเข้าข้อมูลจะเริ่มด้วยการศึกษาข้อมูลเพื่อกําหนดเป็นแหล่งข้อมูลเบื้องต้น หรือ แบบฟอร์มที่ใช้สําหรับบันทึกรายการข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่ผู้บันทึกข้อมูลจะนําแบบฟอร์มเหล่านี้ไป
1. การกําหนดวิธีการประมวลผล ความสําคัญการออกแบบส่วนนําเข้าข้อมูล คือ ข้อมูล นาเข้าสู่ระบบถูกต้อง ครบถ้วน มีคุณภาพ และสามารถใช้งานง่าย โดยต้องคํานึงถึงอุปกรณ์ที่ใช้รับข้อมูล ด้วย เช่น แป้นพิมพ์ เมาส์ เครื่องสแกนเอกสาร เครื่องอ่านบาร์โค้ด ไมโครโฟน จอภาพ เป็นต้น การตัดสินใจ เลือกการนําเข้าข้อมูลให้พิจารณาคุณลักษณะงานและความต้องการขององค์กรเป็นหลักว่ามีการประมวลผล แบบแบตซ์หรือมีวิธีการประมวลผลแบบออนไลน์
2. การควบคุมปริมาณการนําเข้าข้อมูล คือ การลดปริมาณข้อมูลในแต่ละรายการด้วยการ คัดเลือกนําเข้าข้อมูลที่จําเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น เมื่อสามารถควบคุมปริมาณได้จะสามารถลดโอกาส ความผิดพลาดในข้อมูล และลดค่าใช้จ่ายในการคีย์ข้อมูลเข้าระบบ ในการควบคุมปริมาณข้อมูลนําเข้าจะ พิจารณาดังนี้
(1) คัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่จําเป็น
(2) ใช้รหัสในการแทนข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดเวลาและข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูล

(3) ใช้ข้อมูลที่เป็นค่าคงที่หรือเป็นข้อมูลที่ทุก ๆ Transaction ใช้งานเหมือนกันหมด เช่น วันที่ป้อนข้อมูล หากมีการป้อนในครั้งแรกแล้ว การ Transaction ใน Record ต่อไปไม่จําเป็นต้องป้อนวันที่ ใหม่ ซึ่งสามารถดึงวันที่จากระบบมาใช้งานได้ ทําให้ช่วยลดเวลาลง
3. การควบคุมข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ เป็นการควบคุมคุณภาพของ การนําเข้าข้อมูล เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดของข้อมูล ระบบต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่นําเข้าระบบ โดยมี การแจ้งเตือนหากป้อนข้อมูลผิด และเมื่อแก้ไขให้ถูกแล้วสามารถบันทึกรายการนี้เข้าสู่ระบบได้ การควบคุม ข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูล ทําได้ดังนี้
(1) ตรวจสอบว่ามีการคีย์ข้อมูลหรือไม่ ข้อมูลในแต่ละฟิลด์ ผู้ป้อนข้อมูลอาจข้ามไป ทําให้ไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลเป็นช่องว่าง ระบบต้องร้องเตือนให้มีการคีย์ข้อมูล ก่อนดําเนินการในขั้นต่อไป
(2) ตรวจสอบชนิดข้อมูล เป็นการตรวจสอบเพื่อความมั่นใจในข้อมูลที่ป้อนเข้าสู่ระบบ ว่าตรงกับชนิดข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ เช่น ข้อมูลที่ป้อนต้องเป็นค่าตัวเลขหรือตัวอักษร หากป้อนผิดประเภท จะต้องแก้ไขให้ถูกต้องก่อน
(3) ตรวจสอบช่วงข้อมูล เป็นการตรวจสอบค่าที่เป็นไปได้ของข้อมูลที่นําเข้าไป เช่น คะแนนสอบปลายภาคของนักศึกษาจะต้องอยู่ในช่วงคะแนนต่างสุด คือ 0 ถึงคะแนนสูงสุดคือ 100 ซึ่ง คะแนนจะมีค่าติดลบหรือสูงเกินกว่า 100 ไม่ได้
(4) ตรวจสอบความสอดคล้อง เป็นการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างฟิลด์สองฟิลด์ หรือมากกว่า ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกันอย่างสมเหตุสมผล เช่น นักศึกษาที่สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ไม่มีความสอดคล้องในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันเลย ก็จะต้องเลือกสาขาในคณะวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะเลือกสาขาที่สังกัดคณะบริหารธุรกิจก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่ง
(5) การใช้วิธีการตรวจสอบค่าตัวเลข ในการป้อนข้อมูลที่เป็นค่าตัวเลข บ่อยครั้งที่ผู้ใช้ หรือไม่ โดยทําการเพิ่มค่าตรวจสอบเข้าไปอีก 1 บิต มักกรอกค่าตัวเลขผิดพลาด สามารถใช้วิธี Check Digit ในการตรวจสอบว่าค่าตัวเลขที่นําเข้าข้อมูลถูกต้อง
(6) การตรวจสอบยอดรวม ในกรณีใช้วิธีการประมวลผลแบบแบตช์ (Batch Controls) ในกรณีที่ป้อนข้อมูลแบบแบตช์ที่มีจํานวน Transaction มาก จําเป็นต้องทําการตรวจสอบ เช่น ข้อมูลใน แต่ละแบตช์ต้องมีหมายเลขแบตช์ จํานวนเอกสารและยอดรวม เช่น ระบบเงินเดือนมียอดรวมเงินสุทธิของ ค่าแรงทั้งหมดที่ต้องจ่าย โดยยอดนี้จะต้องตรงกับยอดรายการค่าแรงของพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมด เป็นต้น หากเปรียบเทียบกันแล้ว ปรากฏว่ายอดไม่ตรงกัน นั่นหมายความว่าข้อมูลที่ป้อนเข้าไปมีข้อผิดพลาดแล้ว

การออกแบบฟอร์มและรายงาน
1. เก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานแบบฟอร์มรายงาน สามารถทําพร้อมกับการรวบรวม ข้อมูลในขั้นตอนของการวิเคราะห์ระบบ จะช่วยให้การออกแบบระบบมีความรวดเร็วขึ้น
2. ร่างแบบฟอร์มและรายงาน เมื่อได้ข้อมูลการใช้งานแบบฟอร์มและรายงานแล้ว จะต้องนํามาออกแบบแบบฟอร์มและรายงาน โดยการร่างแบบเพื่อสอบถามผู้ใช้งานระบบว่าถูกต้องหรือไม่ หรือต้องการแก้ไขส่วนใดเพิ่มเติมหรือไม่จนกว่าผู้ใช้ระบบจะพอใจ
3. การสร้างตัวต้นแบบ หลังจากร่างแบบฟอร์มและรายงานและนําเสนอต่อผู้ใช้ระบบจน เป็นที่ยอมรับแล้วจะต้องใช้เครื่องมือสร้างตัวต้นแบบเพื่อสร้างต้นแบบระบบไปให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้งาน เครื่องมือการสร้างตัวต้นแบบ เช่น โปรแกรมภาษาที่ใช้สร้างจอภาพ Visual Basic เป็นต้น

การจัดรูปแบบฟอร์มและรายงาน
การออกแบบฟอร์มและรายงาน ควรคํานึงถึงการจัดรูปแบบในการแสดงผลข้อมูลและ สารสนเทศ เพื่อนําเข้าสู่ระบบได้สะดวกและผิดพลาดน้อยที่สุด ดังนี้
สื่อที่ใช้ในการแสดงผล การแสดงผลจะต้องมีสื่อที่ใช้ในการแสดงผล เช่น แสดงผลทาง กระดาษ แสดงผลทางจอภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบในการออกแบบว่าควรจะแสดงผลบนสื่อ ชนิดใดให้เหมาะกับการใช้งาน นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบจะต้องออกแบบเพิ่มเติมว่าจะต้องได้ข้อมูลนั้นๆ มาจากการประมวลผลแบบใด เพื่อนําไปกําหนดว่าเป็นแบบฟอร์มและรายงานใด โดยจะต้องแสดงผลต่อผู้ใช้ระบบทันที หรือต้องรอการเก็บรวบรวมแล้วจึงทําการประมวลผลจึงแสดงผลการประมวล ข้อมูลนั้นต่อผู้ใช้ระบบในภายหลัง เป็นต้นฒ

การออกแบบส่วนนําเข้าข้อมูล (Input Design)
คุณภาพของข้อมูลที่จะนําเข้าสู่ระบบจะมีผลต่อคุณภาพและความสมบูรณ์ของรายงาน ในการออกแบบส่วนนําเข้าข้อมูลจะเริ่มด้วยการศึกษาข้อมูลเพื่อกําหนดเป็นแหล่งข้อมูลเบื้องต้น หรือแบบฟอร์มที่ใช้สําหรับบันทึกรายการข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่ผู้บันทึกข้อมูลจะนําแบบฟอร์มเหล่านี้ไป
ฟอร์มย่อย(Subforms)
ฟอร์มย่อยคือฟอร์มที่ถูกแทรกลงในอีกฟอร์มหนึ่ง โดยฟอร์มแรกจะเรียกว่าฟอร์มหลัก และฟอร์มที่อยู่ในฟอร์มเรียกว่าฟอร์มย่อย ในบางครั้งการรวมฟอร์ม/ฟอร์มย่อยเข้าด้วยกันจะเรียกว่าฟอร์มแบบลำดับชั้น ฟอร์มต้นแบบ/รายละเอียด หรือฟอร์มหลัก/รอง
ฟอร์มย่อยจะมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการแสดงข้อมูลจากตารางหรือคิวรีที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่ง-ต่อ-กลุ่ม ความสัมพันธ์แบบหนึ่ง-ต่อ-กลุ่มคือความสัมพันธ์ระหว่างสองตารางที่มีค่าคีย์หลักของแต่ละระเบียนในตารางหลักที่สัมพันธ์กับค่าในเขตข้อมูลที่ตรงกัน หรือเขตข้อมูลของหลายๆ ระเบียนในตารางที่สัมพันธ์กัน ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างฟอร์มที่แสดงข้อมูลของพนักงาน และมีฟอร์มย่อยที่แสดงใบสั่งซื้อแต่ละใบของพนักงานได้ด้วย ข้อมูลในตารางพนักงาน คือด้าน "หนึ่ง" ของความสัมพันธ์ ข้อมูลในตารางใบสั่งซื้อ คือด้าน "กลุ่ม" ของความสัมพันธ์ (พนักงานแต่ละคนมีใบสั่งซื้อมากกว่าหนึ่งใบได้)
1. ฟอร์มหลักจะแสดงข้อมูลจากด้าน "หนึ่ง" ของความสัมพันธ์
2. ฟอร์มย่อยจะแสดงข้อมูลจากด้าน "กลุ่ม" ของความสัมพันธ์
ฟอร์มหลักและฟอร์มย่อยในฟอร์มประเภทนี้จะลิงก์เข้าด้วยกันเพื่อให้ฟอร์มย่อยแสดงเฉพาะระเบียนที่สัมพันธ์กับระเบียนปัจจุบันในฟอร์มหลักเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อฟอร์มหลักแสดงข้อมูลของอัญชนา ภานุวัฒนวงศ์ ฟอร์มย่อยก็จะแสดงเฉพาะใบสั่งซื้อของเธอเท่านั้น ถ้าฟอร์มและฟอร์มย่อยไม่ได้ลิงก์กัน ฟอร์มย่อยจะแสดงใบสั่งซื้อทั้งหมดที่ไม่ใช่แค่ของอัญชนาเพียงคนเดียว
ความแตกต่างระหว่างฟอร์มกับรายงานเราจะสังเกตได้ว่าฟอร์มนั้นสามารถพิมพ์งานออกมาได้เช่นเดียวกัน แต่ที่เราไม่ใช้ฟอร์มเป็นรายงานสรุป เนื่องจากฟอร์มมีข้อแตกต่างกับรายงาน ดังต่อไปนี้
ฟอร์มถูกออกแบบมา เพื่อใช้แสดงผลข้อมูลในหน้าจอ และรายงานถูกออกแบบมาเพื่อใช้สร้างสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่ข้อมูลต่าง ๆ ที่แสดงอยู่บนรายงานจะใช้แสดงผลอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ เหมือนกับฟอร์มในการกำหนดความกว้างและความยาวของรายงาน เราสามารถกำหนดในไดอะล็อกซ์ Printer Setup ซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติที่กำหนดในมุมมอง Report Design (ที่ใช้ สร้างรายงาน) ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบรายละเอียดในการสร้างรายงานสามารถพิมพ์รายงานในแบบที่ต้องการได้

สรุป
การสร้างฟอร์มเป็นการนำเสนอข้อมูลจากตารางอีกรูปแบบหนึ่ง สามารถปรับแต่งรูปแบบได้ตามต้องการ มีการสร้างปุ่มสำหรับใช้งานทำให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรายงาน (Report)
การสร้างรายงานนั้นจะใช้วิธีการสร้างคล้ายกับการสร้างฟอร์ม ดังนั้น จึงสามารถนำ ความรู้เกี่ยวกับการสร้างฟอร์มมาใช้ในการสร้างรายงานได้ นอกจากนี้ใน Access 2010นั้น ยังมีตัว ช่วยในการสร้างรายงานอย่างรวดเร็ว โดยจะถามข้อมูลที่จำเป็นในการสร้างรายงาน และรายงานที่ เราสร้างขึ้นมาสามารถนำไปใช้ในอินเทอร์เน็ต และอินทราเน็ตได้เหมือนกับการส่งออกไฟล์ทั่วไป
1.1 ความหมายของรายงาน (Report) รายงาน คือ ข้อมูลที่จะใช้แสดงผลสรุปจากฐานข้อมูลออกมาทางสิ่งพิมพ์ ที่เรา สามารถนำไปใช้งานต่อไปได้
ตัวอย่างของการนำรายงานไปใช้งานในฐานข้อมูลการสั่งซื้อของเรา เช่น
- การออกใบสั่งซื้อให้กับลูกค้าในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง
- การสร้างฉลากติดซองจดหมายเพื่อส่งข้อมูลต่าง ๆ ไปให้ลูกค้า
- การแสดงข้อมูลรายละเอียดของสินค้าทุกอย่างที่มีอยู่
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับรายงาน เรายังสามารถใส่ออบเจ็กต์ต่าง ๆ ลง ไปในรายงานของเราได้ ช่น รูปภาพ เสียง เป็นต้น และรายงานที่เราสร้างขึ้นมายังสามารถ นำไปใช้อินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตได้เช่นเดียวกับฟอร์ม
1.2 ประโยชน์ของรายงาน รายงานมีประโยชน์มากมาย ดังต่อไปนี้รายงานสามารถนำไปใช้ในงานต่าง ๆ โดยรายงานสามารถจัดกลุ่มของระเบียน หาผลรวมระเบียนในกลุ่ม รวมทั้งสามารถสร้างกลุ่มย่อยขึ้นมาใหม่ได้
เช่น ต้องการจัดกลุ่มใบสั่งซื้อสินค้าตามลูกค้า จัดกลุ่มสินค้าตามชนิดสินค้า เป็นต้น รายงานสามารถใช้สร้างเอกสารต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
เช่น การทำใบรายการส่ง สินค้า การสรุปยอดขายในแต่ละไตรมาส เป็นต้น
1.3 ความแตกต่างระหว่างฟอร์มกับรายงาน
เราจะสังเกตได้ว่าฟอร์มนั้นสามารถพิมพ์งานออกมาได้เช่นเดียวกัน แต่ที่เราไม่ใช้ ฟอร์มเป็นรายงานสรุป เนื่องจากฟอร์มมีข้อแตกต่างกับรายงาน ดังต่อไปนี้
ฟอร์มถูกออกแบบมา เพื่อใช้แสดงผลข้อมูลในหน้าจอ และรายงานถูกออกแบบ มา เพื่อใช้สร้างสิ่งพิมพ์ต่าง ๆข้อมูลต่าง ๆที่แสดงอยู่บนรายงานจะใช้แสดงผลอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ เหมือนกับฟอร์มในการกำหนดความกว้างและความยาวของรายงาน เราสามารถกำหนดในไดอะล็อกซ์ Printer Setup ซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติที่กำหนดในมุมมอง Report Design (ที่ใช้ สร้างรายงาน) ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบรายละเอียดในการสร้างรายงานสามารถพิมพ์รายงานในแบบที่ ต้องการได้
1.4 ประเภทของรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
- รายงานแบบตาราง (Tabular Report) เป็นรายงานที่มีการจัดเรียงข้อมูลเหมือนตารางซึ่งจะเรียงฟิลด์จากซ้ายไปขวาของรายงานโดยจะแสดงข้อมูลทุกเรคคอร์ดในหนึ่งหน้ารายงาน
- รายงานแบบหลายคอลัมน์ (Columnar Report) เป็นรายงานที่แสดงข้อมูลซึ่งจะจัดเรียงฟิลด์จากบนลงล่าง โดยจะแสดงข้อมูลทีละ 1 เรคคอร์ด
- รายงานแบบป้ายชื่อ (Label Report) เป็นรายงานแบบป้ายฉลากที่เรียกว่าเลเบลสำหรับติด หน้าซองต่างๆ เช่น ป้ายติดซองจดหมาย เลเบลต่างๆ ป้ายฉลากสินค้าเป็นต้น
1.5 มุมมองของรายงาน
- มุมมองรายงาน(Report View) เป็นมุมมองที่ใช้สำหรับการแสดงผลในรูปแบบรายงานเท่านั้นไม่สามารถแก้ไขรายงานได้
- มุมมองแสดงตัวอย่างก่อนพิมพ์ (Print Preview) เป็นมุมมองที่ใช้สำหรับแสดงตัวอย่างรายงานก่อนพิมพ์โดยมีลักษณะเหมือนกับที่เห็นบนหน้าจอ
- มุมมองเค้าโครง (Layout View) มีลักษณะคล้ายกับมุมมองรายงานในการแสดงผลข้อมูลและคล้ายกับมุมมองออกแบบตรงที่สามารถจัดรูปแบบของรายงานได้
- มุมมองออกแบบ (Design View) เป็นมุมมองที่ใช้ในการออกแบบและปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลของรายงานโดยสามารถเพิ่มตัวควบคุมต่างๆเข้ามาในรายงานได้

2. การสร้างรายงาน <= คลิกเอกสารเพิ่มเติม
ในการสร้างรายงานเพื่อใช้สรุปข้อมูลหรือแสดงผลจะมีลักษณะคล้ายกับฟอร์มคือ สามารถกำหนดเงื่อนไขของข้อมูลเพื่อเลือกดูเฉพาะ ข้อมูลที่สนใจได้แต่จะแตกต่างกันตรงที่ฟอร์มใช้แสดงผลข้อมูลที่หน้าจอและแก้ไขข้อมูลได้ส่วนรายงานพิมพ์ได้แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้  ให้นึกถึงฟอร์มที่ถูกผูกไว้ว่าเป็นหน้าต่างที่ผู้คนใช้ดูและเข้าถึงฐานข้อมูลของคุณ ฟอร์มที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณใช้ฐานข้อมูของคุณได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องค้นหาสิ่งที่ต้องการ ฟอร์มที่ดึงดูดสายตาช่วยให้ทำงานกับฐานข้อมูลได้อย่างเพลิดเพลินและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้มีการใส่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องได้ด้วย
การสร้างฟอร์มโดยใช้เครื่องมือ 'ฟอร์ม'
คุณสามารถใช้เครื่องมือ ฟอร์ม เพื่อสร้างฟอร์มด้วยการคลิกเมาส์เพียงครั้งเดียว เมื่อคุณใช้เครื่องมือนี้ เขตข้อมูลทั้งหมดจากแหล่งข้อมูลต้นแบบจะถูกวางลงบนฟอร์ม จากนั้นคุณสามารถเริ่มใช้ฟอร์มใหม่ได้ทันที หรือสามารถปรับเปลี่ยนฟอร์มดังกล่าวในมุมมองเค้าโครงหรือมุมมองออกแบบเพื่อ ให้ตรงกับความต้องการของคุณมากยิ่งขึ้นก็ได้
Access จะสร้างฟอร์มและแสดงฟอร์มนั้นในมุมมองเค้าโครง ซึ่งในมุมมองนี้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงการออกแบบให้กับฟอร์มที่กำลังแสดง ข้อมูลอยู่ได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถปรับเปลี่ยนขนาดของกล่องข้อความให้เหมาะสมกับข้อมูลได้ ถ้าจำเป็นถ้า Access พบว่ามีตารางหนึ่งที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่มกับตารางหรือแบบสอบถาม ที่คุณใช้สร้างฟอร์ม Access จะเพิ่มแผ่นข้อมูลลงในฟอร์มที่ยึดตามตารางหรือแบบสอบถามที่สัมพันธ์กัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสร้างฟอร์มอย่างง่ายที่ยึดตามตารางพนักงาน และมีการกำหนดความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่มไว้ระหว่างตารางพนักงานและตาราง ใบสั่งซื้อ แผ่นข้อมูลดังกล่าวจะแสดงระเบียนทั้งหมดในตารางใบสั่งซื้อที่สัมพันธ์กับ ระเบียนพนักงานปัจจุบัน คุณสามารถลบแผ่นข้อมูลออกจากฟอร์มได้ถ้าคุณคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้แผ่น ข้อมูลดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ถ้ามีตารางมากกว่าหนึ่งตารางที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่มกับตารางที่ คุณใช้สร้างฟอร์ม Access จะไม่เพิ่มแผ่นข้อมูลใดๆ ลงในฟอร์ม
ในการสร้างรายงานเพื่อใช้สรุปข้อมูลหรือแสดงผลจะมีลักษณะคล้ายกับฟอร์ม คือ สามารถกำหนดเงื่อนไขของข้อมูลเพื่อเลือกดูเฉพาะข้อมูลที่สนใจได้ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ฟอร์มใช้แสดงผลข้อมูลที่หน้าจอและแก้ไขข้อมูลได้ ส่วนรายงานพิมพ์ได้แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้
• การสร้างรายงานอย่างง่ายด้วยปุ่มคำสั่ง Report
• การสร้างรายงานเปล่า
• การสร้างรายงานด้วยตัวช่วยสร้าง
• การสร้างรายงานแบบเลเบล
• การสร้างรายงานด้วยตัวเองในมุมมองออกแบบ
บรรณานุกรม
          นางสาวศิริลักษณ์ คำปาน. แบบฟอร์มและรายงาน สืบค้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์  พ.ศ.2563  (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/tlmimo99/8-1-kar-xxkbaeb-fxrm-laea-rayngan
แบบฟอร์มและรายงาน. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์  พ.ศ.2563  (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://tipnapa39.blogspot.com
แบบฟอร์ม. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์  พ.ศ.2563  (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://support.office.com
นางสาว ทิพนภา หมอกมัว. แบบฟอร์มและรายงาน. สืบค้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์  พ.ศ.2563  (ออนไลน์). แหล่งที่มา :  http://tipnapa39.blogspot.com/p/6-from-report.html