บทที่ 3
การบัญชีระบบสารสนเทศและกระบวนการทางธุรกิจ
กระบวนการทางธุรกิจ
กระบวนการทางธุรกิจ (Business
process) คือ ขั้นตอนในการประกอบธุรกิจโดยเริ่มตั้งแต่การนำเงินมาลงทุนในกิจการเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าเครื่องจักร
วัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบ ค่าแรง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบริหารงานด้านต่าง ๆ แล้วทำการจำหน่ายสินค้าหรือบริการออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งรายรับแก่ธุรกิจหลังจากนั้นจึงนำไปหักค่าใช้จ่ายเพื่อดูผลได้สุทธิว่ากำไรหรือขาดทุน
แล้วจึงนำเงินนั้นใช้เพื่อดำเนินธุรกิจ
บทบาทและขั้นตอนของกระบวนการทางธุรกิจ
การดําเนินธุรกิจเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคที่เรายังไม่มีเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจยังเป็นเรื่องง่ายๆไม่ซับซ้อนเช่นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันเพื่อให้ได้ของที่ต่างฝ่ายต่างพอใจแต่ในปัจจุบันกระบวนการทางธุรกิจถูกจัดทำให้มีรูปแบบที่ชัดเจนและถูกต้องโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องบังคับให้การทำธุรกิจดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรเราจึงควรมีความเข้าใจในกระบวนการทางธุรกิจที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในทุกวันนี้กระบวนการทางธุรกิจเริ่มจากการที่เจ้าของนำเงินสดหรือสินทรัพย์อื่นมาลงทุนในธุรกิจ
ถ้าเงินสดมีไม่เพียงพอ อาจต้องกู้ยืมเพิ่มจากเจ้าหนี้หรือสถาบันการเงินต่าง ๆ
จากนั้นจึงเริ่มนำเงินสดไปซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ต่าง ๆ หรืออาจใช้วิธีเช่าแทนการซื้อก็ได้
เมื่อกิจการเริ่มดำเนินการ ลักษณะของการดำเนินงานจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การค้าขาย หรือการให้บริการ
โดยจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามลักษณะของแต่ละกิจการเมื่อรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายจะเกิดกำไร
แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้จะเกิดผลขาดทุน
ส่วนใหญ่ในช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจจะเกิดผลขาดทุน
เมื่อดำเนินงานมาสักระยะหนึ่งธุรกิจจึงมีกำไร เมื่อมีผลกำไร
ธุรกิจจะแบ่งปันคืนเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล
กำไรส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป
การหมุนเวียนของเงินสดในกระบวนการทางธุรกิจ
ประเภทของธุรกิจที่พบเห็นโดยทั่วไป
ลักษณะทั่วไปของการดำเนินธุรกิจมี
3 ประเภท ได้แก่
1. กิจการให้บริการ (Service Firm) กิจการให้บริการจะมีรายได้หลัก คือ ค่าธรรมเนียมค่าบริการรับ
รายจ่ายหลัก คือ เงินเดือนพนักงาน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง
ค่าเช่าค่าสาธารณูปโภคและอื่น ๆ
รายจ่ายในกิจการให้บริการถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ปัญหาที่เกิดขึ้นในกิจการให้บริการคือการวัดผลการดำเนินงาน
ลักษณะของผลิตภัณฑ์จะไม่เห็นเป็นตัวตนที่ชัดเจน ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้
เช่นโรงพยาบาล สำนักงานกฎหมาย บริษัทที่ปรึกษา เป็นต้น
2. กิจการซื้อมาขายไป (Merchandising
Firm) หมายถึง
กิจการที่ซื้อขายสินค้าทั้งขายส่งและขายปลีกโดยไม่ใช่ผู้ผลิต รายได้หลักของกิจการ
คือ เงินที่ขายสินค้าได้ ค่าใช้จ่ายจำแนกเป็น 2 ส่วน คือ ต้นทุนสินค้าขาย
และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า
ร้านขายยา ร้านขายของชำ เป็นต้น
3. กิจการผลิต (Manufacturing
Firm) กิจการผลิตส่วนใหญ่จะมีโรงงานสำหรับผลิตสินค้า รายได้หลัก คือ
เงินที่ได้จากการขายสินค้า ค้าใช้จ่าย คือ ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบ ค่าจ้างคนงาน
และค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายทั้งสามส่วนนี้จะรวมเป็นต้นทุนสินค้า
ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสำนักงานจะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
วงจรบัญชี (Accounting
Cycle)
วงจรบัญชี หมายถึง
ลำดับขั้นตอนการจัดทำบัญชี การบันทึกเอกสารรายการค้าลงในสมุดรายวัน
และการสรุปผลรายงานทางการเงินแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
วัตถุประสงค์ให้ได้ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงิน ทำให้กิจการได้นำมาใช้ในการวิเคราะห์ตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ว่าแต่วงจรบัญชีหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัฎจักรทางการบัญชี
มีวิธีการจัดทำและบันทึกรายการอย่างไร
วงจรซื้อ
เมื่อมีการซื้อสินค้า
เอกสารที่กิจการจะได้รับใบกำกับภาษีซื้อเป็นชุด (ต้นฉบับ และ สำเนา)
1. ให้นำต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อที่ได้รับ
มาจัดเรียงตามวันที่และใส่ลำดับเลขที่ใหม่ ดังนี้ เดือน…../ลำดับที่…….
2. ให้นำต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ
มาจัดทำรายงานภาษีซื้อ (เตรียมยื่นนำส่งภาษี ภ.พ.30)
3.
ในกรณีที่เป็นใบกำกับภาษีซื้อต้องห้าม เช่น ใบกำกับภาษีซื้อค่าอาหาร ซื้อขนม
เป็นต้น ให้นำมาหักออกจากรายภาษีซื้อ
4. ในกรณีใบกำกับภาษีซื้อล่าช้า
สามารถล่าช้าได้ 6 เดือน ถ้าได้รับในเดือนใด
ให้นำมาจัดทำรายงานภาษีซื้อในเดือนนั้น โดยให้หมายเหตุไว้ที่ใบกำกับภาษีด้วยว่า
ถือเป็นใบกำกับภาษีซื้อเดือน…….
5. เมื่อลงรายการภาษีซื้อแล้ว
ให้นำต้นฉบับใบกำกับภาษีเก็บเข้าแฟ้มเป็นหลักฐาน
โดยเรียงตามลำดับที่ในรายงานภาษีซื้อ
6. นำสำเนาใบกำกับภาษีซื้อ
มาจัดทำใบตรวจรับพัสดุ
7. นำใบตรวจรับพัสดุ มาบันทึกรายการในสมุดรายวันซื้อ พอสิ้นเดือนจึงสรุปยอด
วงจรขาย
เมื่อมีการขายสินค้า
ต้องจัดทำใบกำกับภาษีขายขึ้น ต้องมีต้นฉบับ และสำเนา (ต้นฉบับ = 1+ สำเนา 5 )
1.
นำรายการขายสินค้ามาจัดทำใบกำกับภาษีขาย แล้วนำต้นฉบับใบกำกับภาษีขาย + สำเนา 1 ใบ
ให้ลูกค้า
2.
นำสำเนาใบกำกับภาษีขายมาจัดทำรายงานภาษีขาย
3.
นำใบกำกับภาษีขายมาบันทึกรายการในสมุดรายวันขาย สิ้นเดือนสรุปยอด
4. นำใบกำกับภาษีขาย
มาจัดทำบัญชีคุมสินค้าทางด้านรายจ่าย
5.
สิ้นเดือนรวมยอดต้นทุนสินค้าที่ขายในบัญชีคุมสินค้า
บันทึกต้นทุนขายในสมุดรายวันทั่วไป
สมุดรายวันทั่วไป
สมุดรายวันทั่วไป (General Journal) คือ
สมุดบัญชีขั้นต้นหรือสมุดรายวันที่ใช้จดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นทุกรายการ
ถ้ากิจการนั้นไม่มีสมุดรายวันเฉพาะ แต่ถ้ากิจการนั้นมีการใช้สมุดรายวันเฉพาะ
สมุดรายวันทั่วไปก็จะมีไว้เพื่อบันทึกรายการค้าอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นและไม่สามาถนำไปบันทึกในสมุดรายวันเฉพาะเล่มใดเล่มหนึ่งได้
จากรูปแบบของสมุดรายวันทั่วไปข้างต้นจะสามารถอธิบายถึงส่วนประกอบต่าง
ๆ ของสมุดรายวันทั่วไป ได้ดังนี้
1. จะต้องมีคำว่าสมุดรายวันทั่วไป (General Journal) อยู่หัวกระดาษตรงกลางเพื่อที่จะบอกว่าแบบฟอร์มที่จัดทำนี้คือสมุดรายวันทั่วไป
2.
จะต้องมีเลขที่หน้าของสมุดรายวันทั่วไปอยู่ตรงมุมบนขวามือของกระดาษเพื่อบอกว่าสมุดรายวันทั่วไปที่บันทึกอยู่นี้เป็นหน้าที่เท่าไร
3. ช่องที่ 1 ของสมุดรายวันทั่วไปเป็นช่องที่แสดงวันที่
ของรายการค้าที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะต้องเป็นวันที่ที่เรียงลำดับก่อนหลังของรายการค้าที่เกิดขึ้น
ในการบันทึกรายการในช่องวันที่นั้น ให้บันทึกปีพ.ศ.ก่อน โดยบันทึกไว้อยู่ตรงกลาง
ต่อมาบันทึกเดือน โดยบันทึกไว้ด้านหน้า แล้วต่อมาจึงบันทึกวันที่ หากวันต่อไปของรายการค้าที่จะต้องบันทึกบัญชีหากเป็นปีเดียวกัน
เดือนเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบันทึก ปี พ.ศ. และเดือนใหม่อีก
4. ช่องที่ 2 เป็นช่องรายการ
ใช้บันทึกรายการบัญชีที่จะต้องบันทึกทางด้านเดบิต
รายการที่จะต้องบันทึกทางด้านเครดิต และคำอธิบายรายการ
โดยในการบันทึกรายการในช่องนี้ให้บันทึกบัญชีที่จะต้องบันทึกทางด้านเดบิตก่อน
โดยให้บันทึกทางด้านซ้ายของช่องให้ชิดเส้นซ้ายมือของช่อง
หากรายการค้าใดที่มีบัญชีที่จะต้องบันทึกทางด้านเดบิตมากกว่า 1
บัญชีให้บันทึกบัญชีทางด้านเดบิตให้หมดเสียก่อน จากนั้นให้บันทึกบัญชีที่จะต้องบันทึกทางด้านเครดิต
โดยเยื้องมาทางด้านขวามือเล็กน้อยประมาณหนึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง
หากรายการค้าใดมีบัญชีที่จะต้องบันทึกทางด้านเครดิตมากกว่า 1
บัญชีให้บันทึกบัญชีทางด้านเครดิตให้หมด
ซึ่งหลักการบันทึกบัญชีว่าบัญชีใดบันทึกทางด้านเดบิต และบัญชีใดบันทึกทางด้านเครดิตนั้น
จะได้อธิบายต่อไปในหัวข้อหลักการบันทึกบัญชีคู่
จากนั้นให้เขียนคำอธิบายรายการเพื่ออธิบายว่าเกิดรายการค้าอะไรเกิดขึ้นจึงทำให้ต้องบันทึกบัญชีเช่นนั้น
โดยการเขียนคำอธิบายรายการให้เขียนโดยชิดซ้ายติดกับเส้นทางด้านซ้ายของช่อง
สุดท้ายให้ขีดเส้นใต้เพื่อแสดงการสิ้นสุดการบันทึกรายการค้านั้น ๆ
ในการขีดเส้นใต้นี้ให้ขีดเส้นใต้เฉพาะช่องรายการเท่านั้น
5. ช่องที่ 3 เป็นช่องเลขที่บัญชี
ใช้บันทึกเลขที่บัญชีที่บันทึกไว้ในช่องรายการทั้งทางด้านเดบิต และเครดิต
ซึ่งเรื่องเลขที่บัญชีนี้จะได้อธิบายให้ละเอียดในหัวข้อถัดไป
6. ช่องที่ 4 เป็นช่องเดบิต
ใช้บันทึกจำนวนเงินที่บันทึกบัญชีแต่ละบัญชีทางด้านเดบิต โดยแบ่งเป็น 2 ช่องย่อย
คือช่องบาท และช่องสตางค์
7. ช่องที่ 5 เป็นช่องเครดิต
ใช้บันทึกจำนวนเงินที่บันทึกบัญชีแต่ละบัญชีทางด้านเครดิต โดยแบ่งเป็น 2 ช่องย่อย
คือช่องบาท และช่องสตางค์
สมุดรายวันเฉพาะ
สมุดรายวันเฉพาะ(Special Journal)คือ สมุดรายวันหรือสมุดบัญชีขั้นต้นที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ
1.
สมุดรายวันรับเงิน (Cash
Received Journal) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการรับเงินเท่านั้น
เช่น การรับรายได้ การรับชำระหนี้ เป็นต้น
2.
สมุดรายวันจ่ายเงิน (Cash
Payment Journal) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินเท่านั้น
เช่น จ่ายค่าใช้จ่าย ซื้อสินทรัพย์ จ่ายเงินชำระหนี้ เป็นต้น
3.
สมุดรายวันซื้อ ( Purchases
Journal ) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการซื้อสินค้าเป็น
เงินเชื่อเท่านั้น
4. สมุดรายวันขาย (Sales Journal) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการขายสินค้าเป็นเงินเชื่อเท่านั้น
5. สมุดรายวันส่งคืนสินค้า (Purchases
Returns and Allowance Journal) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการส่งคืนสินค้าที่ซื้อมาเป็นเงินเชื่อเท่านั้น
6. สมุดรายวันรับคืนสินค้า (Sales Returns
and Allowance Journal) เป็นสมุดรายวันที่ใช้บันทึกรายการค้าที่เกี่ยวกับการรับคืนสินค้าที่ขายเป็นเงินเชื่อเท่านั้น
สมุดบัญชีแยกประเภท
(Ledger)
สมุดบัญชีแยกประเภท (Ledger) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.
สมุดบัญชีแยกประเภททั่วไป (General Ledger) เป็นสมุดที่รวบรวมหรือคุมยอดของบัญชีแยกประเภททุกบัญชี
ซึ่งใช้บันทึก การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ (ทุน)
ต่อจากการบันทึกลงในสมุดรายวันทั่วไป ได้แก่ บัญชีแยกประเภท สินทรัพย์ เช่น
บัญชีเงินสด บัญชีเงินฝากธนาคาร บัญชีลูกหนี้ บัญชีสินค้า บัญชีวัสดุสำนักงาน
บัญชีอาคาร เป็นต้น บัญชีแยก ประเภทหนี้สิน เช่น บัญชีเจ้าหนี้การค้า บัญชีเงินกู้
บัญชีเจ้าหนี้ อื่น ๆ เป็นต้น บัญชีแยกประเภทส่วนของเจ้าของ เช่น บัญชีทุน
บัญชีรายได้ (Income) บัญชีค่าใช้จ่าย (expense) และบัญชีถอนใช้ส่วนตัว
2. สมุดบัญชีแยกประเภทย่อย (Subsidiary
Ledger) เป็นที่รวบรวมของบัญชีแยกประเภทย่อยของบัญชีคุมยอด (Controlling
Accounts) ในสมุดแยกประเภททั่วไป เช่น
สมุดบัญชีแยกประเภทลูกหนี้รายตัว บัญชีเจ้าหนี้รายตัว ซึ่งยอดรวมของบัญชีแยกประเภท
รายตัวทั้งหมดจะเท่ากับยอดรวมในสมุดบัญชีแยกประเภททั่วไป
รูปแบบของบัญชีแยกประเภท
ที่นิยมใช้กันทั่วไปมี 2 แบบ
1. แบบบัญชีแยกประเภททั่วไป
(แบบมาตรฐาน) มีลักษณะคล้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือตัว T ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ทางด้านซ้ายมือคือด้านลูกหนี้หรือเดบิต (Debit) ทางด้านขวามือคือด้านเจ้าหนี้หรือด้านเครดิต (Credit)
2. แบบบัญชีแยกประเภทย่อย
(แบบแสดงยอดดุล) มีลักษณะคล้ายกับรูปแบบของสมุดรายวันทั่วไป แต่มีช่องยอดคงเหลือ
เพิ่มขึ้นมา เพื่อแสดงรายการคงเหลือทุกครั้งที่มีการบันทึกรายการและเมื่อต้องการทราบยอดคงเหลือ
งบการเงิน (Financial
Statement)
งบการเงิน (Financial
Statement) หมายถึง รายงานทางการเงินที่แสดงฐานะทางการเงิน
และผลการดำเนินงานของกิจการ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ วันสิ้นงวดบัญชี
อาจจะเป็นระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี
ส่วนประกอบของงบการเงินที่สมบูรณ์
ควรประกอบด้วย
1. งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss
Statement) หมายถึง งบที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการว่ามีผลกำไร
หรือ ขาดทุนสุทธิเท่าใดประกอบด้วยรายละเอียดของรายได้และค่าใช้จ่าย
2.งบดุลหรืองบแสดงฐานะกานเงิน (Balance Sheet) หมายถึง งบที่แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ
วันใดวันหนึ่งประกอบด้วยรายละเอียด ของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ (ทุน)
3.งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ (Statement of changes in owner’s equity)
4.งบกระแสเงินสด (Cash Flow
statement)
5.หมายเหตุประกอบเงินการเงิน (Note to
Financial Statement)
การจัดทำงบกำไรขาดทุน
1. ส่วนหัวงบ มี 3 บรรทัด คือ
บรรทัดที่ 1 เขียน “ชื่อกิจการ”
บรรทัดที่ 2 เขียนคำว่า “งบกำไรขาดทุน”
บรรทัดที่ 3
เขียนระยะเวลาที่จัดทำงบกำไรขาดทุน
2. เขียนคำว่า “รายได้”
ทางด้านซ้ายมือแล้วนำบัญชีรายได้หลักและรายได้อื่น ๆ ของกิจการมาลงรายการโดยเขียน
เยื้องไปทางขวามือเล็กน้อย และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดรายได้ทั้งหมด
3. เขียนคำว่า “ค่าใช้จ่าย”
ทางซ้ายมือให้ตรงกับรายได้
และนำบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขียนเยื้องไปทาง ขวามือเล็กน้อย
พร้อมเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4. หาผลต่างระหว่างยอดรวมรายได้
และยอดรวมค่าใช้จ่าย ถ้ายอดรวมรายได้มากกว่ายอดรวมค่าใช้จ่าย ผลต่างคือ กำไรสุทธิ
ถ้ายอดรวมค่าใช้จ่ายมากกว่ายอดรวมรายได้ผลต่างคือขาดทุนสุทธิ
การจัดทำงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน
1. ส่วนหัวงบ 3 บรรทัด
บรรทัดแรก เขียน “ ชื่อกิจการ ”
บรรทัดที่สอง
เขียนกำไรขาดทุนในและบรรทัดที่สามเขียนระยะเวลาบัญชี
2. เขียนคำว่า “ สินทรัพย์ ”
ไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษ แล้วนำบัญชีหมวดทรัพย์สินมาลงรายการทางด้านซ้ายมือ และ
เขียนจำนวนเงินทางขวามือ
3. เขียนคำว่า “ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ ” กลางหน้ากระดาษ
แล้วนำบัญชีหมวดหนี้สินมาลงรายการทางซ้ายมือ
และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดหนี้สิน
สุดท้ายรวมยอดหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ซึ่งต้องเท่ากับยอดรวมของสินทรัพย์ ทั้งหมด
Statement of Changes in Owner's Equity งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของเป็นงบการเงินที่แสดงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงในรายการที่เป็นองค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ
จากต้นงวดบัญชีไปถึงสิ้นงวดบัญชีโดยแยกแสดงแต่ละรายการตามประเภทของรายการ
การแสดงรายการในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1
(ปรับปรุง 2559) เรื่อง การนำเสนองบการเงิน
กำหนดไว้ว่ากิจการต้องนำเสนองบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของตามรายการดังต่อไปนี้
1. กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวด
ซึ่งแสดงจำนวนรวมที่จัดสรรให้แก่ส่วนของผู้เป็นเจ้าของซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมแยกออกจากกัน
2.
สำหรับแต่ละองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของ
ผลกระทบของการนำนโยบายการบัญชีมาปรับปรุงย้อนหลังหรือแก้ไขงบการเงินย้อนหลัง
3.
สำหรับองค์ประกอบแต่ละรายการของส่วนของเจ้าของ การกระทบยอดระหว่างยอดยกมา ณ
วันต้นงวดและวันสิ้นงวด ให้เปิดเผยการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลจาก
· กำไรหรือขาดทุน
· แต่ละรายการของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
· รายการกับผู้เป็นเจ้าของในฐานะที่เป็นเจ้าของ ซึ่งแสดงเงินทุนที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าของและการจัดสรรส่วนทุนให้ผู้เป็นเจ้าของและการเปลี่ยนแปลงในส่วนได้เสียของความเป็นเจ้าของในบริษัทย่อยที่ไม่ได้ส่งผลให้สูญเสียการควบคุม
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ
(Statement
of Changes in Owner's Equity)
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ
เป็นงบการเงินที่แสดงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงในรายการที่เป็นองค์ประกอบอื่นของส่วนของเจ้าของ
จากต้นงวดบัญชีไปถึงสิ้นงวดบัญชีโดยแยกแสดงแต่ละรายการตามประเภทของรายการ
การแสดงรายการในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1
(ปรับปรุง 2559) เรื่อง การนำเสนองบการเงิน
กำหนดไว้ว่ากิจการต้องนำเสนองบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของตามรายการดังต่อไปนี้
1. กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับงวด
ซึ่งแสดงจำนวนรวมที่จัดสรรให้แก่ส่วนของผู้เป็นเจ้าของซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมแยกออกจากกัน
2.
สำหรับแต่ละองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของ
ผลกระทบของการนำนโยบายการบัญชีมาปรับปรุงย้อนหลังหรือแก้ไขงบการเงินย้อนหลัง
3.
สำหรับองค์ประกอบแต่ละรายการของส่วนของเจ้าของ การกระทบยอดระหว่างยอดยกมา ณ
วันต้นงวดและวันสิ้นงวด ให้เปิดเผยการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลจาก
· กำไรหรือขาดทุน
· แต่ละรายการของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
· รายการกับผู้เป็นเจ้าของในฐานะที่เป็นเจ้าของ
ซึ่งแสดงเงินทุนที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าของและการจัดสรรส่วนทุนให้ผู้เป็นเจ้าของและการเปลี่ยนแปลงในส่วนได้เสียของความเป็นเจ้าของในบริษัทย่อยที่ไม่ได้ส่งผลให้สูญเสียการควบคุม
บทสรุป
คือกระบวนการทางธุรกิจนั้นจะเป็นขบวนการต่าง
ๆ หรือขั้นตอนในทุก ๆ ขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจ ผลกำไรที่จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธุรกิจนั้น
ๆ โดยทั่ว ๆ ไปการดำเนินธุรกิจจะมีอยุ่ 3 ประเภท คือ
1.
กิจการให้บริการ (Service
Firm) กิจการให้บริการจะมีรายได้หลัก คือ ค่าธรรมเนียมค่าบริการรับ
รายจ่ายหลัก คือ เงินเดือนพนักงาน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และ อื่น ๆ
รายจ่ายในกิจการให้บริการถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ปัญหาที่เกิดขึ้นในกิจการให้บริการคือการวัดผลการดำเนินงาน
ลักษณะของผลิตภัณฑ์จะไม่เห็นเป็นตัวตนที่ชัดเจน ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ เช่น โรงพยาบาล
สำนักงานกฎหมาย บริษัทที่ปรึกษา เป็นต้น
2.
กิจการซื้อมาขายไป (Merchandising
Firm) หมายถึง
กิจการที่ซื้อขายสินค้าทั้งขายส่งและขายปลีกโดยไม่ใช่ผู้ผลิต รายได้หลักของกิจการ
คือ เงินที่ขายสินค้าได้ ค่าใช้จ่ายจำแนกเป็น 2 ส่วน คือ ต้นทุนสินค้าขาย
และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตัวอย่าง ของธุรกิจประเภทนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า
ร้านขายยา ร้านขายของชำ เป็นต้น
3.
กิจการผลิต (Manufacturing
Firm) กิจการผลิตส่วนใหญ่จะมีโรงงานสำหรับผลิตสินค้า รายได้หลัก คือ
เงินที่ได้จากการขายสินค้า ค้าใช้จ่าย คือ ต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบ ค่าจ้างคนงาน
และค่าใช้จ่ายในขบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายทั้งสามส่วนนี้จะรวมเป็นต้นทุนสินค้า
ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสำนักงานจะถือเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
บรรณานุกรม
aisacc.(2561). การบัญชีระบบสารสนเทศและกระบวนการทางธุรกิจ
สืบค้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เข้าถึงได้จาก:
https://aisacc.blogspot.com/2019/09/3.html
สมชาย
จันทร์รักษ์ .(2561). กระบวนการทางธุรกิจ สืบค้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
เข้าถึงได้จาก:https://sites.google.com/site/naysmchaycanthrraks/home/krabwnkar-thang-thurkic
isstep. (2558). วงจรบัญชี สืบค้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เข้าถึงได้จาก: http://www.isstep.com/accounting-cycle/